จุดเริ่มต้นของ UglyDolls มันเป็นเพียงของขวัญที่ทําขึ้นเพื่อแทนความรัก ของหนุ่มสาวคู่หนึ่ง เดวิด ฮอร์วาธ (David Horvath) กับ คิมซุนมิน (Kim Sun-Min) พวกเขาเป็นนักศึกษาวิชาศิลปะในอเมริกา ที่มีแนวคิดเรื่องความงามจากความไม่สมบูรณ์แบบเหมือนกัน

ทั้งคู่จึงเริ่มคบหากันระหว่างเรียน จนกระทั่งวันหนึ่งคิมต้องเดินทางกลับไปอยู่เกาหลี แต่ระยะทางที่ห่างไกลคนละซีกโลกก็ไม่ใช่อุปสรรคด้านความรักของทั้งคู่ ฮอร์วาธเขียนจดหมายถึงคิมตลอด และทุกครั้งเขาจะวาดตัวการ์ตูนหน้าตาประหลาด ที่เขาตั้งชื่อให้มันว่า เวจ (Wage) ลงท้ายจดหมายที่เขียนถึงเธอ เพื่อเป็นตัวสื่อรักระหว่างกัน พอคิมเห็นเจ้าเวจในจดหมายบ่อยๆ เธอจึงได้เย็บมันเป็นตัวตุ๊กตานุ่มๆ ขึ้นมา แล้วส่งกลับไปให้ฮอร์วาธดูต่างหน้า

ด้วยความเห่อ ฮอร์วาธ ได้นำเจ้าเวจไปอวดเพื่อนของเขาที่ชื่อ เอริก นากามูระ (Eric Nakamura) ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งนิตยสารของเล่น Giant Robot และยังเป็นเจ้าของร้านขายของเล่นในแคลิฟอร์เนียด้วย นากามูระเล็งเห็นความน่ารักของตุ๊กตานั้น เลยสั่งผลิตเพิ่มเพื่อเอามาวางขายในร้านของตน จึงทำให้เกิดตัวละครอื่นๆ ตามมา อาทิ บาโบ (Babo) Ice Bat (ไอซ์แบท) และตั้งชื่อเหล่าตุ๊กตาหน้าตาประหลาดนี้ ว่า UglyDoll

ตุ๊กตา UglyDoll วางขายครั้งแรกในปี 2001 และค่อยๆ ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น จนปี 2006 มันได้รับรางวัล Special Toy of the Year จากสมาคมอุตสาหกรรมของเล่นแห่งอเมริกา ปัจจุบันมีแฟนคลับอยู่ทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ แม้กระทั่งคนดังอย่าง ฮิวจ์ แจ็คแมน ที่เคยแสดงตัวว่าพ่ายแพ้ให้กับความน่ารักของ UglyDoll เมื่อครั้งไปเยือนเกาหลีมาแล้ว ตอนนี้ธุรกิจตุ๊กตา UglyDoll ได้สร้างมูลค่าให้กับทั้งฮอร์วาธและคิมไปมากกว่า 2 พันล้านบาทเลยทีเดียว

UglyDolls เส้นทางสู่การนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์แอนิเมชั่น 

เพราะความน่ารักของตุ๊กตา UglyDoll ทำให้สตูดิโอฮอลลีวูดมีความพยายามจะหยิบมันมาทำภาพยนตร์อยู่หลายครั้ง แต่ก็ไม่เป็นรูปเป็นร่าง จนได้ค่ายหนังมาแรง STX Films โดยวางให้ UglyDolls เป็นแอนิเมชั่นสำหรับทุกคนในครอบครัวเรื่องแรกของค่าย และยังเป็น ภาพยนตร์แอนิเมชั่นแบบมิวสิคัล

 ที่เพียบไปด้วยเพลงเพราะๆ โดยในตอนแรก โรเบิร์ต โรดริเกซ (Robert Rodriguez) นักทำหนังแถวหน้าของฮอลลีวูด จะมาเป็นผู้กำกับ แต่สุดท้าย โรเบิร์ต โรดริเกซ ต้องไปรับผิดชอบหนังฟอร์มใหญ่ Alita: Battle Angel เลยจำเป็นต้องสละตำแหน่งหน้าที่ผู้กำกับไป แล้วทำหน้าที่ควบคุมงานสร้างแทน เขาจึงได้เลือก เคลลี แอสบิวรี่ (Kelly Asbury) ผู้กำกับ Shrek 2 มารับช่วงต่อ